Page Nav

HIDE

Grid

GRID_STYLE
Monday, April 28

สนช.ลงมติท่วม ถามพ่วง ส.ว.โหวตนายกฯ

7เมย.เมื่อเวลา 11.45 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อ...

7เมย.เมื่อเวลา 11.45 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ วาระ 2 และ 3 ตามที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สนช. เป็นประธานได้พิจารณาเสร็จแล้ว มีทั้งหมด 65 มาตรา สาระสำคัญคือการเปิดโอกาสให้แสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญได้รอบด้าน ไม่ปิดกั้น แต่การแสดงความเห็นต้องเป็นไปโดยสุจริต ไม่ขัดกฎหมาย ทั้งนี้ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะเป็นผู้ทำหน้าที่เผยแพร่ อธิบายสาระสำคัญร่างรัฐธรรมนูญ ขณะที่ กกต.ต้องวางตัวเป็นกลางในการทำหน้าที่ สำหรับการลงคะแนนครั้งนี้จะไม่ใช้เครื่องลงคะแนน
ท้วงแหลกห้ามรณรงค์รับ-ไม่รับร่าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิกส่วนใหญ่ อาทิ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ นายตวง อันทะไชย นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล ได้อภิปรายท้วงติงเนื้อหาในมาตรา 7 อย่างหนักถึงกรณีที่ กมธ.แก้ไขหลักการตามร่างกฎหมายเดิม โดยตัดคำว่า “รณรงค์” ในการออกเสียงร่างรัฐธรรมนูญทิ้งไป ทำให้ไม่สามารถแสดงความเห็นรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญได้ ถือเป็นการละเมิดสิทธิประชาชนในการแสดงความคิดเห็น พล.อ.สมเจตน์ชี้แจงว่า การแสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ ทุกคนทำได้ ไม่ปิดกั้น แต่การรณรงค์ถือเป็นการชักจูงให้รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในประเทศ คนที่จะรณรงค์ได้มีแค่ กกต.เท่านั้นที่จะรณรงค์ให้ประชาชนมาใช้สิทธิมากที่สุด ฝ่ายอื่นๆไม่สามารถรณรงค์ได้ แม้แต่กรธ.ก็ทำได้แค่ชี้แจงข้อดีร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยทำได้แค่พูดข้อเสียเช่นกัน การพูดว่าให้รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ถือว่าชี้นำ จะสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายประชามติ อย่างไรก็ตามสมาชิก สนช.หลายคนยืนยันไม่เห็นด้วยกับเนื้อหามาตรานี้ ทำให้ต้องแขวนมาตรา 7 ไว้ เพื่อพิจารณามาตราอื่นก่อน จากนั้นนายพรเพชรสั่งพักการประชุม เพื่อหารือแก้ไขเนื้อหามาตราที่ยังมีปัญหา
ผ่านฉลุยให้ความเห็นชอบวาระ 3
ภายหลังเปิดการประชุม สนช.อีกครั้ง กมธ. แจ้ง ต่อที่ประชุมว่า ยินยอมแก้ไขข้อความในมาตรา 7 จากเดิมที่ระบุว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกเสียงโดยสุจริตและไม่ขัดต่อกฎหมาย” เป็น “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเผยแพร่ความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกเสียงโดยสุจริตและไม่ขัดต่อกฎหมาย” เพื่อให้บุคคลสามารถเผยแพร่ความคิดเห็นของตนเอง ที่มีต่อร่างรัฐธรรมนูญได้ แต่ต้องเป็นไปโดยสุจริตและไม่ขัดกฎหมาย ทั้งนี้ หลังจากที่ประชุมอภิปรายวาระ 2 เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ในวาระ 3 ด้วยคะแนน 171 ต่อ 1 งดออกเสียง 3 เสียง ให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดยใช้เวลาพิจารณานานกว่า 5 ชั่วโมงครึ่ง
ถามพ่วงตามคาด ส.ว.โหวตนายกฯ
จากนั้นเวลา 17.30 น. ที่ประชุม สนช.เข้าสู่วาระการพิจารณาประเด็นคำถามของ สนช.ที่จะเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการจัดให้มีการออกเสียงประชามติตามมาตรา 39/1 วรรคเจ็ดของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 โดยนายกล้านรงค์ จันทิก รองประธานคณะกรรมาธิการสามัญพิจารณาศึกษา เสนอแนะ และรวบรวมความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ
สนช. คนที่ 1 กล่าวว่า ความเห็นที่ส่งมาส่วนใหญ่เสนอเรื่องเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ ส.ว.ให้ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในระยะเปลี่ยนผ่านได้หรือไม่ หลังจากรวบรวมความเห็นแล้ว กมธ.เห็นว่าควรเสนอคำถามโดยเน้นความเห็นของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เป็นหลักในการพิจารณา จึงเห็นว่าควรตั้งคำถามว่า เห็นด้วยหรือไม่ เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเป็นไปตามยุทธ-ศาสตร์ชาติ ควรกำหนดในบทเฉพาะกาลว่าระหว่าง 5 ปีแรก ตั้งแต่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาเห็นชอบบุคคลสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯ
จับใส่บทเฉพาะกาลใช้ทันที 5 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิกส่วนใหญ่ล้วนอภิปรายแสดงความเห็นด้วยกับการให้ตั้งคำถามพ่วงประชามติ ก่อนที่นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ขอมติที่ประชุมว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่สนช.จะส่งคำถามประชามติต่อ กกต. โดยที่ประชุมมีมติเห็นด้วย 142 เสียง ไม่เห็นด้วย 16 เสียง งดออกเสียง 9 เสียง


ต่อมานายกล้านรงค์ขอมติว่า ในส่วนประเด็นคำถาม ที่ประชุม สนช.เห็นชอบหรือไม่ว่าเพื่อให้การปฏิรูปประเทศต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนดในบทเฉพาะกาลว่าระหว่าง 5 ปีแรกนับตั้งแต่มีรัฐสภาชุดแรก ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้ให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี สุดท้าย ที่ประชุมมีมติเห็นด้วย 152 ต่อ 0 เสียง และงดออกเสียง 15 เสียง จากนั้น นายพรเพชรแจ้งว่าเมื่อที่ประชุมเห็นชอบแล้ว จะส่งคำถามให้ กกต.เพื่อทำประชามติต่อไป ก่อนสั่งปิดการประชุมในเวลา 18.30 น.

ที่มาข่าว : thairath.co.th